[ใหม่] Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ

702 สัปดาห์ ที่แล้ว - นครราชสีมา - คนดู 340

2,800 ฿

  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 1
  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 3
  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 4
  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 5
  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 6
  • Enzyme เจนิฟู้ด (genufood) เอนไซม์บำบัดของนายพล คนขอนแก่นราคาพิเศษ     รูปที่ 7
รายละเอียด

สนใจดูรายละเอียดสินค้าได้ที่

www.thegreathealthy.com

หรือโทร.087-9847533,087-4507483

ผลิตภันฑ์ Enzyme เจนิฟู้ด  คือ   พืชผักผสมชนิดผง

 


 อาหารเสริมที่สกัดมาจากพืชหลายชนิด
 อาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต
 อาหารเสริมที่ใช้ในการโภชนบำบัดได้

คุณสมบัติสารอาหารในผลิตภัณฑ์พืชผักผสมชนิดผง ตรา เจนิฟู้ด มีสารอาหาร ที่แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ตามหน้าที่ที่สำคัญในร่างกายได้ดังนี้

1. เอนไซม์ 370ชนิด ช่วยฟื้นฟูเซลในร่างกาย คืนสู่สภาพปกติ
2. ให้พลังงาน 
     คาร์โบไฮเดรต
      ไขมัน
      โปรตีน
3. เป็นส่วนประกอบของร่างกาย
     เกลือแร่หรือแร่ธาตุต่างๆ
4. ควบคุมกระบวนการทางชีวเคมีต่างๆในร่างกาย
     วิตามิน 
    คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เป็นส่วนประกอบ ที่มีความสำคัญของ  เซลล์ และเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ เผาผลาญ ทำให้เกิดพลังงานภายในเซลล์ นอกจาก นั้นยังมีอาหารประเภทสารเส้นใยอาหาร (Dietary Fiber) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อร่างกาย
เส้นใยอาหารในผลิตภัณฑ์พืชผักผสม
ชนิดผงตราเจนิฟู้ด ประกอบด้วย
1. เซลลูโลส (Cellulose) ช่วยขจัด สารพิษออกจากร่างกาย
2. เฮมิเซลลูโลส (Hemicellulose) ช่วยขจัด สารพิษออกจากร่างกาย
3. เพกติน (Pectin) ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด
4. ลิกนินและแวกซ์ (Lignin and Wax) ทำให้อุจจาระไม่แข็ง ท้องไม่ผูก ลดการเกิดโรคริดสีดวงทวาร

  ไขมัน (Lipid) ไขมันในผลิตภัณฑ์พืชผักผสมชนิด ผงตรา เจนิฟู้ด จะเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประกอบด้วยกรดไขมัน 3 ชนิด ได้แก่
1. กรดไขมันไลโนเลอิก
2. กรดไขมันโอเลอิก
3. กรดไขมันไลโนเลนิก

ประโยชน์ของกรดไขมันดังกล่าวคือ ให้ พลังงานและช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน อันได้แก่วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ไขมัน เป็นส่วนประกอบของอวัยวะต่างๆ เช่น เลซิติน เป็นส่วนประกอบของเนื้อสมอง กรดไลโนเลอิก ทำให้ผิวหนังไม่อักเสบ และช่วยลดระดับคอเลสเตอ รอลในเส้นเลือด ทำให้ไม่มีไขมันเกาะผนังของ หลอดเลือด

 โปรตีน (Protein) สารอาหารโปรตีนประกอบด้วย หน่วยเล็กๆเรียกว่า “กรดอะมิโน” เป็นส่วนประกอบ สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต โปรตีนในเหยิน-เบิ่นเป็น โปรตีนที่ได้มาจากพืช มีกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ กับร่างกาย และมีกรด อะมิโนที่จำเป็น (Essential Amino acid) จำนวนมาก

 

                เอมไซม์ คือ สารโปรตีน เป็นตัวเร่งการทำงานของระบบต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต ทำให้เซลล์เป็นล้าน ๆ เซลล์, เนื้อเยื่อ ของเหลว และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างปกติ

หากร่างกายขาดเอนไซม์หรือปริมาณเอนไซม์ ลดลง

                จะ ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น การย่อยอาหาร การขับถ่าย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การขจัดสารพิษของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันระบบเลือดในร่างกายผิดปกติ

 

หน้าที่ของเอนไซม์

-                   ช่วยย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหาร

-                   ช่วยดูดซึม และนำพาอาหาร

-                   ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

-                   ช่วยเผาผลาญพลังงาน และย่อยสลายไขมัน

-                   ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

-                   ช่วยป้องกันอาการอักเสบ ติดเชื้อ

-                   ขจัดสารพิษของร่างกาย/ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

-                   ทำให้ฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่ และสารอื่น ๆ ทำงานตามคุณสมบัติ

กินไปมากเท่าไหร่ ก็นำไปใช้ไม่ได้ ถ้าเอนไซม์บกพร่อง

 

คุณสมบัติของเอนไซม์

-                   เอนไซม์ที่ร่างกายต้องการมากกว่า 370 ชนิด

-                   เอนไซม์ไม่อยู่ในรูปเฉื่อยชา เพียงผสมน้ำอุ่นก็พร้อมทำปฏิกิริยาทันที

-                   ทำปฏิกิริยาได้ดีเป็น 3 เท่าที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส

-                   สามารถเก็บรักษาได้นานเป็นแรมปี

-                   มีสารอาหารครบ 5 หมู่

-                   สารอาหารจากธรรมชาติ 100% ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีใด ๆ

 

เอนไซม์ GENUFOOD

ช่วยแก้ปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น

-ระบบหัวใจ/หลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง
-ระบบทางเดินอาหาร การขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร มะเร็งกระเพาะ/ลำไส้ ท้องผูกอาหารไม่ย่อย โรคนิ่ว ถุงน้ำดีอักเสบ โรคไตอักเสบ/ ไตวาย ต่อมลูกหมากโต/มะเร็ง โรคตับ
-ระบบทางเดินหายใจ/ระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคไซนัสอักเสบ หลอมลมอักเสบ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคปอด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัดต่าง ๆ ช่วยขจัดสารพิษ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
-ระบบผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน บำรุงผิวพรรณ สิว ผ้า รักษาจุดด่างดำ ผิวหนังอักเสบ รักษาแผลสด/น้ำร้อนลวก/ไฟไหม้/แผลในปาก สะเก็ดเงิน
-ระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โปลิโอ ปวดเมื่อยลำตัว/ปวดหลัง โรคเก๊าท์ โรคกระดูกพรุน/กระดูกอักเสบ ไขข้ออักเสบ/รูมาติซึม
-ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยต์อักเสบ
-ระบบสืบพันธุ์ เช่น ความผิดปกติของประจำเดือน รักษาความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
-ระบบสร้างเม็ดเลือด เช่น โรคโลหิตจาง โรคลูคิเมีย

 

นอกจากนี้เอนไซม์ ยังช่วยในการ :

n  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือการเสื่อมสภาพของอวัยวะ

n  ย่อยสลายไขมันส่วนเกิน

n  ชลอความชรา

 

เอนไซม์เรื่องที่ควรรู้

เอนไซม์ แบ่งเป็น 3 ชนิด

1.             เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme)พบในอาหารดิบทุกชนิด ถ้ามากจากพืช เรียกว่า เอนไซม์จากพืช (Plant Enzyme)

2.             เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme)เป็นเอนไซม์ที่ผลิตโดยร่างกานส่วนใหญ่ผลิตจากตับอ่อน เพื่อใช้ย่อยและดูดซึมอาหารที่กินเข้าไปทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร (Nutrient) ที่มีคุณค่า

3.             เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Enzyme)เม ตาบอลิค เอนไซม์ เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาชีวเคมี เพื่อการเผาผลาญสารอาหาร และสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญเติบโต ตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่าง ๆ

 

หน้าที่สำคัญของเอนไซม์ :

                ชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ เอนไซม์ย่อยอาหาร (Food) ให้เป็นสารอาหาร (Nutrient) ขนาดเล็ก ถูกดูดซึมผ่านลำไส้เข้ากระแสโลหิต ไปสร้างกล้ามเนื้อ ผลิตฮอร์โมน สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

 

เอนไซม์ควรจะถือว่าสำคัญกว่าแก๊สออกซิเจนที่ใช้หายใจ

                ชีวิต ที่ปราศจากเอนไซม์จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่อากาศหรือแก๊สออกซิเจนสำหรับหายใจสำคัญที่สุดต่อมนุษย์ แท้ที่จริงเป็นความสำคัญในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะแก๊สออกซิเจนที่เราต้องใช้หายใจเกิดจากปฏิกิริยาเคมีในพืชใบเขียวซึ่ง ผลิตเอนไซม์เป็นตัวเร่ง โดยเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้เป็นแก๊สออกซิเจน (O2) โดยมีแสงแดดเป็นตัวช่วย

 

ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอเพียง

                มนุษย์จะอายุยืนถึง 120 ปี เพราะเซลล์ในร่างกาย สามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เกิดได้ง่ายมาก หนังสือ “เอนไซม์ในอาหาร” (Food Enzyme) ว่า “สุขภาพ” (Health) คือ ปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้เซลล์ของร่างกายอำเนินไปอย่างปกติสุข

 

อายุมากขึ้น เอนไซม์ผลิตได้น้อยลง คุณภาพต่ำ

                การ ขาดเอนไซม์ย่อยอาหารมีได้หลายสาเหตุ แต่การขาดชนิดเดียวที่ตับอ่อนไม่สามารถแก้ไขได้คือ การขาดเอนไซม์เนื่องจากมีอายุมากขึ้น หนุ่มสาวอายุ 21-31 ปี มีเอนไซม์อไมเลสในน้ำลายมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ 69-100 ปี ถึง 30 เท่า อายุมากขึ้นเอนไซม์ผลิตน้อยลงมาก แต่ความต้องการใช้ยังคงเหมือนเดิม การขาดแคลนเมื่ออายุมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเอนไซม์ คือ

1.             สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสร้างเอนไซม์ขึ้นมาใช้เองด้วยความสามารถในการผลิตที่แตกต่างกัน

2.             เอนไซม์ เป็นตัวเร่งในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ ถ้าย่อยได้ไม่ดี ถึงกินอาหารแสนดีก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น

3.             เอนไซม์ควบคุม และเร่งปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด ถ้าไม่มีเอนไซม์ปฏิกิริยาเคมี จะเกิดช้าจนชีวิตไม่สามารถรอได้

4.             เอนไซม์ แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะตัว และทำปฏิกิริยาเคมีจำเพาะกับสารตั้งต้นที่ถูกกำหนดเท่านั้น เอนไซม์ชนิดย่อยแห้งจะไม่ย่อยโปรตีน เอนไซม์ชนิดย่อยไขมันจะไม่ย่อยแป้ง

5.             เอนไซม์ถูกทำลายโดยง่ายที่ความร้อนสูงเกิน 118 องศาฟาเรนไฮต์ หรือเอนไซม์เปราะบางมาก

6.             การแช่แข็ง ไม่ทำลายความสามารถของเอนไซม์

7.             การขาดเอนไซม์ส่วนใหญ่เกิดขึ้น เพราะไม่รักษาสุขภาพของตนเอง บางกรณีเกิดจากปัญหากรรมพันธุ์

8.             เอนไซม์ที่มีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) ในร่างกายสัมพันธ์กับโรคของความเสื่อมต่าง ๆ (ถ้าเอนไซม์ต่ำมาก โรคแห่งความเสื่อมก็เกิดขึ้นมากตาม)

 

วิตามินหรือเกลือแร่สำคัญ ๆ

                ถ้า ไม่มีเอนไซม์ วิตามินก็คือ เศษผงธรรมดาเซลล์ทั้ง 60 ล้านล้านเซลล์ ต้องใช้เอนไซม์เพื่อเร่งปฏิกิริยาเคมี ถ้าไม่มีเอนไซม์ ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้ วิตามิน เกลือแร่ คือ ตัวร่วมกับเอนไซม์ (Coenzyme) โดย ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเอนไซม์ร่วมด้วย วิตามิน เกลือแร่ก็เปล่าประโยชน์ เอนไซม์เป็นผู้สร้างเซลล์ สร้างอวัยวะ สร้างร่างกาย และสร้างชีวิต

 

เอนไซม์คือพลังของชีวิต

Enzyme is the Life Force

ความสำคัญของเอนไซม์ คือ การสร้างเฮโมโกบิน (Hemoglobin)ในเม็ดเลือดแดงเพื่อนำออกซิเจนไปให้อวัยวะทั่วร่างกาย คนจำนวนมากกระดูกเปราะบางจากการกินอาหารที่ขาดเอนไซม์ ไม่สามารถนำแคลเซียมมาใช้ได้ โปรตีนไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโน เพราะไม่มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน และร่างกายอาจจะซ่อมแซมตนเอง หรือป้องกันอันตรายอันเกิดจากเชื้อโรค

นัก วิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่สนใจในวิชาเอนไซม์เริ่มยอมรับว่า เมื่อก่อนเข้าใจผิดคิดว่าเอนไซม์ในร่างกายของเรา มีจำนวนคงที่ตลอดเวลา และมีให้ใช้ไม่รู้จักหมด (Constant and last forever) คิดเอาเองว่าสามารถนำมาใช้แล้ว ใช้ได้อีก จนกระทั่งมีการวิจัยหลายครั้งโดยกลุ่มนักวิชาเคมีจึงรู้ว่า เอนไซม์ในร่างกายคนเรามีจำนวนจำกัด มีวันเสื่อมสภาพ ถ้าใช้มากก็หมดเปลืองเร็ว ถ้าเป็นโรงงานก็จะต้องหาแม่ปั๊มใหม่มาเปลี่ยน แต่ร่างกายคนเราไม่สามารถหาแม่ปั๊มใหม่มาเปลี่ยนได้ ชีวิตจึงสิ้นสภาพ

สิ่ง แวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ดินที่ปราศจากเกลือแร่ อาหารที่ปรุงสำเร็จ การใช้ไมโครเวฟทำอาหาร การทำงานหนัก ความเครียดเหล่านี้เป็นตัวทำให้เอนไซม์ โคเอนไซม์ บกพร่องทั้งในอาหาร และในตัวเราเองเป็นอันตรายต่อสุขภาพชีวิตได้

การแก้ปัญหาซึ่งง่านเหมือนเส้นผมบังภูเขา “เมื่อขาดอาหารเสริม”ด้วยการกินอาหารดิบ และสดให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าทำได้ยากวิธีแก้คือ “กินเอนไซม์เสริม”(To offset this los, we need to supplement our life Force with oral enzyme supplement)

 

เอนไซม์มีประโยชน์อะไร

                น.พ. Edward Howell ซึ่ง เป็นผู้บุกเบิกการรักษาโรคด้วยเอนไซม์ กล่าวว่าเอนไซม์เกือบทุกตัวประกอบด้วยโปรตีน เกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เป็นโมเลกุลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการเร่งขบวนการทางเคมีที่จำเป็นใน การทำงานของร่างกาย เอนไซม์จะทำงานร่วมกับวิตามินซึ่งทำหน้าที่เป็น โค-เอนไซม์ และทำงานร่วมกับเกลือแร่ ถ้าร่างกายขาดสารอาหารพวกนี้ก็จะขาดเอนไซม์ไปด้วย เอนไซม์ทำงานคล้ายกับกรรมกรก่อสร้างร่างกาย ถ้าร่างกายมีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตพร้อม แต่ไม่มีคนก่อสร้างพอก็ไม่สามารถเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้ ถ้าไม่มีเอนไซม์ ก็จะไม่มีการย่อยอาหาร ไม่มีการเจริญเติบโต ไม่มีการแข็งตัวของเลือดเวลาเลือดออก และไม่มีการหายใจ เอนไซม์แต่ละตัวจะทำหน้าที่เฉพาะอย่าง

                ใน ภาวะปกติร่างกายสามารถผลิตเอนไซม์หลายพันชนิดตลอดเวลา แต่เวลาเราเจ็บป่วย หรือรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ร่างกายจะขาดวัตถุดิบที่จะนำมาสร้างเอนไซม์บางตัวทันที นั่นคือสาเหตุที่ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลีย ติดเชื้อ มึนงง วิงเวียน

                เอนไซม์ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ เอนไซม์ย่อยอาหาร และเอนไซม์ระบบทำงานร่างกายเอนไซม์ย่อยอาหารสร้างในร่างกายคนเราประมาณ 22 ชนิด ทำหน้าที่ย่อย น้ำตาล แป้ง ไขมัน โปรตีน โดยเริ่มย่อยจากปากไปจนถึงลำไส้ พืชและเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานก็มีเอนไซม์ผสมอยู่ ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ก็จะทำงานร่วมกันกับเอนไซม์ที่ร่างกานสร้างขึ้น แต่เนื่องจากเอนไซม์สลายตัวตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน อาหารที่เรารับประทานที่ปรุงสุกด้วยความร้อนสูงได้ทำลายเอนไซม์ เมื่อเรารับประทานอาหารเหล่านั้นเป็นประจำ ร่างกายต้องสร้างเอนไซม์อย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับอาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว ทำให้กำลังสำรองที่จะไปสร้างเอนไซม์ระบบทำงานร่างกายมีน้อยลง ตับอ่อนต้องทำงานหนักเพื่อสร้างเอนไซม์มากขึ้น ถ้าตับอ่อนสร้างเอนไซม์ได้น้อยกว่าปริมาณอาหารที่กินเข้าไป อาหารบางส่วนก็จะไม่ถูกย่อย และบูดเน่าด้วยเชื้อจูลินทรีย์ในลำไส้ แล้วปล่อยของเสีย (Toxins) เข้า สู่ระบบเลือด ทำให้ตับต้องทำงานหนักในการสลายสารพิษเหล่านั้น ถ้าสารพิษไม่ถูกขจัดออกหมดที่ตับ ร่างกายก็จะขับออกทางผิวหนัง ทำให้เกิดสิว และภูมิแพ้ต่าง ๆ

เอนไซม์ ใช้อย่างประหยัด

                ธรรมชาติ ไม่ได้ให้เอนไซม์ฟุ่มเฟือย เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นในร่างกายแต่ละคนมีจำนวนจำกัด ต้องช่วยตัวเองประหยัดเอนไซม์ให้มีใช้นานที่สุด ถ้าต้องการมีอายุยาว และสุขภาพที่ดี

                เอนไซม์ ที่สำคัญ คือ เมตาบอลิค เอนไซม์ใช้ซ่อมแซม และสร้างเซลล์ต่านทานโรค ป้องกันความเสื่อมโทรม แต่กฎธรรมชาติให้ไว้ว่า ถ้าเอนไซม์ใช้ย่อยอาหารไม่เพียงพอร่างกายต้องดึงเมตาบอลิค เอนไซม์ในเซลล์ต่าง ๆ มาทำงานที่ต่ำชั้นกว่าคือ ย่อยอาหาร ทำให้ “เมตาบอลิค เอนไซม์”หมดเปลือง พลังของชีวิต (Life Force) จึง บกพร่องและไม่เพียงพอ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย การใช้เอนไซม์เสริมช่วยย่อยอาหารเป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออายุมากขึ้น เพื่อประหยัดเมตาบอลิค เอนไซม์ การกินเอนไซม์เสริม และกินอาหารสดจะมีเอนไซม์พอใช้เมื่อแก่ตัวลง ความชราและโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลายก็ไม่มากล้ำกลาย

 

ตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์

                การกินไข่ข่าวดิบ ๆ จะมีสารชื่อ อไวดิน (Avidin) เป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme inhibitor) โดยจะเข้าไปเบียด และแซงโคเอนไซม์ (Coenzyme) ซึ่งเป็นวิตามินบี (ไบโอติน - Biotin) ทำ ให้ไม่สามารถจับกับเอนไซม์คู่ของมันได้ตามปกติ ผลก็คือ เกิดขาดวิตามินบีได้ ไข่ขาวดิบ ๆ จึงไม่ควรกินเป็นประจำ การลวดไข่จะทำให้อไวดินถูกทำลายด้วยความร้อนจึงปลอดภัยในการบริโภค

                การ ทำงานหนัก การออกกำลังกายมากเกินไป การออกกำลังกายระบบการเผาผลาญอาหารต้องทำงานเพิ่มขึ้น ถ้าแข่งกีฬาซึ่งต้องเอาแพ้ เอาชนะกัน ยิ่งต้องใช้พลังงานสูงมาก ย่อมหมดเปลืองเอนไซม์

                โลก มนุษย์ในยุคสารเคมีใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย หลังจาก ค.ศ.1930 เป็นต้นมา ได้มีการมีการมีการใช้สารเคมีเพื่อการอุตสาหกรรม การปฏิวัติทางเกษตรกรรม และการเร่งผลผลิตเพิ่มมาก ทั้งพืชและสัตว์จึงได้รับสารเคมีต่าง ๆ เข้ามาสะสมในตัวตั้งแต่ลืมตาดูโลก มนุษย์ได้สารเคมีปนเปื้อนผ่านมาทางวงจรอาหาร ทำให้เอนไซม์ในอาหาร และตัวคนเสื่อมคุณภาพ เกิดการขาดแคลนเอนไซม์ขึ้น พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ (Polluted World) เอนไซม์ในร่างกายจึงขาดแคลน ปัญหาจะมีมาก ถ้าเป็นเด็กเล็ก ๆ ซึ่งสมองกำลังพัฒนา

                มนุษย์สมัยใหม่มีรสนิยมในการกินของที่ผ่านการหุงต้ม (Cooked Food) มากกว่าอาหารดิบ (Raw Food)คนส่วนใหญ่พอใจที่จะกินอาหารที่ปรุงแต่ง อาหารที่อาบรังสี อาหารที่ใช้วิธีปิ้ง ย่าง มากกว่าอาหารดิบ เพราะชอบในความปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ การที่เราปิ้งหรือย่างเนื้อสัตว์ทำให้เราสูญเสียเอนไซม์ในอาหาร และยิ่งถ้ามีอายุมากขึ้นเอนไซม์ในตัวเราก็ลดต่ำลง การย่อยโปรตีนจึงมีอุปสรรค ไม่ได้สารอาหารกรดอะมิโน (Amino Acid) ร่าง กายจะขาดกรดอะมิโน ซึ่งจะนำมาใช้ในการผลิตเอนไซม์ของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป การใช้เอนไซม์เสริมจึงจะสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ขาดเอนไซม์

สภาพเมื่อขาดเอนไซม์

- รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
- อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
- ท้องผูก ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
- ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็นมาก มีกลิ่นปาก
- มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
- เวลาเป็นแผลจะหายช้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย

อาการที่แพทย์ตรวจพบ (Sign) ว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์
- ตับอ่อนบวม
- เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
- น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
- ในปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดการอาหารไม่ย่อยจึงบูดเน่าในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับนำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ออกทางปัสสาวะ
- ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
- ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

เหตุผลที่กินเอนไซม์เสริม

                จงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย (Mark it Simple) นักปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวว่า มุมมองที่สำคัญของชีวิตคือ จงมองทุกสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย และกฎข้อแรกคือ “ถ้าจำเป็นแต่ไม่มี ก็หามา ถ้าไม่พอ ก็เอามาเสริม”ฟังดูธรรมดาดี ท่านจะนำไปใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ผิดระเบียบอะไร

 

เอนไซม์เสริม

                ปู่ ย่า ตา ยายมีอายุยืนยาวอยู่กันมาได้ไม่ต้องกินอาหารเสริม หรือกินเอนไซม์เสริม ถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาในขณะที่สิ่งแวดล้อมสะอาด อาหารสด ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไม่มีการเติมสารเคมีให้พืชผัก ถ้าเราไปอ่านรายงานสถิติชีพของกระทรวงสาธารณสุขย้อนหลังกลับไป จะพบว่าโรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และมะเร็งในสมัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ซึ่งคำว่ามะเร็งในสมัยนั้น จะเป็นคำที่แปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน

                ในระยะแรก วิตามิน และเกลือแร่ มีเพียง 2 อย่างที่มีการมุ่งให้เป็นอาหารเสริมใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) Dr. Wolfeชาวเยอรมันได้ค้นพบประโยชน์ และวิธีการใช้เอนไซม์ที่มาจากสัตว์ (Animal Enzyme) และในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Howell ชาวอเมริกันได้ศึกษาประโยชน์ของเอนไซม์จากพืช ผลการศึกษา และวิจัยของทั้งสองท่านปูทางไปสู่การใช้เอนไซม์มาเป็นอาหารเสริมในปัจจุบัน (Enzyme Supplement)

                การวิจัยในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) ได้พิสูจน์ว่า ดี เอ็น เอ (DNA) ใน เซลล์ของร่างกายเป็นผู้ควบคุมการผลิตเอนไซม์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ และถ้าเราแก่ตัวลงมาเมตาบอลิค เอนไซม์ก็จะผลิตได้น้อย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แท้ที่จริงเกิดจากพื้นฐานของการขาดเอนไซม์ (Low Enzyme Level)

                วิชาเอนไซม์ (Enzymology) เป็นวิชาใหม่เอี่ยมเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. 2528 และการใช้เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement) เริ่มเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ราว พ.ศ. 2538 นี้เอง

 

เอนไซม์ กุญแจดอกสำคัญที่กำหนดชะตาชีวิตทั้งมวล

                ทุก ชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทุกวินาทีดูดรับสารอาหารบำรุงที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ว่างเว้น พร้อมเสริมสร้างร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่หยุดยั้ง และทำลายเซลล์ที่เก่าแก่ (ของเสียเก่า ๆ) ออกไปจากร่างกาย การกระทำเช่นนี้เรียกว่า การขับถ่ายของเก่าออกไป และเสริมสร้างของใหม่ขึ้นมาแทนที่

                เอนไซม์ เปี่ยมด้วยอานุภาพที่น่าทึ่ง อาหารทั้งหมดที่รับประทานเข้าไปนั้นล้วนอาศัยบทบาทการกระทำของเอนไซม์ในการ ย่อยสารอาหารที่สลับซับซ้อน ให้กลายเป็นสสารที่ละเอียดอ่อนก่อนที่จะดูดซึมเข้าไปในดลหิตได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีเอนไซม์แม้จะกินอิ่มเพียงใดก็ไม่แคล้วจะต้องรับทุกข์ทรมานจากการขาด สารอาหารบำรุงร่างกายของคนเรา คือเรือนร่างที่ประกอบด้วยสารโปรตีน โรคทั้งหมดที่มีต่อร่างกายเรา ยำเว้นโรคกระดูก และฟันแล้วล้วนเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเซลล์ที่เกิดจากสารโปรตีนทั้งสิ้น การป่วยเป็นโรคคือ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายชนิดหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างไม่ปกติแน่นอน เช่น การหลุดล่วงของเซลล์เก่า จะผลัดเปลี่ยนด้วยเซลล์ใหม่เสมอ กลุ่มเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงแล้วจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเซลล์ใหม่จะเข้าแทนที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคทั้งหมดก็จะถูกขจัดไป

                โลกวิวัฒนาการตามความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ กุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ปริศนา ของบทบาททุกชีวิตเริ่มแจ่มชัดขึ้นนั่นคือ เอนไซม์

                เอนไซม์ แบบผสมที่ได้จาก พืชผัก ผลไม้นี้ มิเพียงสามารถปรับรักษาระบบการทำงานของอวัยวะ กระเพาะ ลำไส้ ตับ หัวใจ ปอดในร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคมะเร็งให้ผ่อนเบาลงได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ที่มีชีวิตอยู่มากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทในการละลายเซลล์ที่อยู่ในระยะเปลี่ยนแปลงของโรค (Pathological Change) ให้หมดไป

 

ท่านใดที่ควรใช้เอนไซม์

-  ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

-  ผู้ที่ภูมิต้านทานอ่อน และมักติดเชื้อง่าย เช่น วัณโรค โรคเอดส์

-  ผู้ป่วยก่อน –หลังผ่าตัด

-  สตรีก่อน –หลังคลอด

-  ผู้ที่มีประสิทธิภาพตับไม่ดี เหนื่อยง่าย เช่น ตับอักเสบ

-  ผู้ที่มีประสาทอ่อน ไม่ปกติ ตกใจง่าย เบื่ออาหาร

-  ผู้ที่มีกระเพาะลำไส้ไม่ดีแต่กำเนิด ทำให้ผอมแห้ง แรงน้อย

-  ผู้ที่การทำงานของประสาทไม่เต็มที่ มักสลึมสลือ กระปรกกระเปลี้ย

-  ผู้ที่มีร่างกายแก่ก่อนวัย เจ็บป่วยบ่อย

-  ผู้ที่มีอาการติดเชื้อแปลก ๆ ทำให้ร่างกายเจ็บออด ๆ แอด ๆ

-  ผู้ที่อยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อโรคกรรมพันธุ์ เช่น มีญาติเป็นเบาหวาน มะเร็ง ปัญญาอ่อน โรคเลือด Thalassemia

 

วิธีการใช้เอนไซม์

                เอนไซม์ต้องดื่มขณะท้องว่าง การกินเอนไซม์เป็นอาหารเสริม เพื่อให้ทำลายโมเลกุลโปรตีนที่แปลกปลอมเข้ามาในเลือด ต้องดื่มเวลาท้องว่างคือ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมง หลังอาหาร เอนไซม์จะซึมเข้ากระแสเลือดได้ภายใน 5 นาที มิฉะนั้นจะหมดเปลืองไปจากการทำหน้าที่ย่อยอาหารเสียก่อน ถ้ากรณีมีอาหารอยู่ในกระเพาะจนไม่เข้ากระแสเลือดตามต้องการ

                การ ดื่มเอนไซม์เสริม จะเลือกวิธีใดแล้วแต่จุดประสงค์ของการใช้ จะดื่มเอนไซม์เสริมขนาดเท่าใด เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้สึกไม่ค่อยสบายของท่าน ทางการแพทย์ถือว่า “คนสองคนไม่เหมือนกัน”ถึงแม้จะทำโคลนนิ่งก็ตาม การบกพร่องของเอนไซม์แต่ละคนไม่เท่ากัน ขนาดของเอนไซม์ที่จะใช้เป็นอาหารเสริมจึงไม่สามารถกำหนดให้เป็นตัวเลขที่ตาย ตัวได้ โดยความเห็นของเภสัชกร จะกำหนดให้ดื่ม ครั้งละ 1-2 ซอง วันละ 3 ครั้ง จึงต้องสังเกตด้วยตัวท่านเองว่าดื่มเท่าใด จะเหมาะสมกับตนเอง อาการดีขึ้นหรืออาจลดขนาดลง และทุกครั้งที่ดื่มเอนไซม์ ต้องดื่มน้ำตามอย่างน้อย 1 แก้ว

                เนื่อง จากเอนไซม์รวมจากธรรมชาติ มีพลังการทำงานหลากหลาย การใช้เอนไซม์ชนิดเดียวกัน ก่อนหรือหลังอาหาร จะให้ผลการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ใช้ควรทำความเข้าใจพื้นฐานของการใช้เอนไซม์

                สำหรับ ผู้ที่ต้องการใช้เอนไซม์เพื่อแก้ปัญหาในระบบการย่อย และดูดซึมอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องผูก โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ควรดื่มเอนไซม์หลังอาหาร 30 นาที วันละ 2-4 ครั้ง

 

วิธีดื่มเอนไซม์

นำผงเอนไซม์ 1-2 ซอง ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 CC.)แล้วดื่มให้หมดภายใน 30 นาที

เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรผสมกับน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส

วิธีการใช้เอนไซม์ตามปัญหาสุขภาพต่าง ๆ

 

1.              ดูแลผิวพรรณบนใบหน้า

ผลการใช้

 

วิธีการใช้

ขจัดสารเคมีตกค้างจากการใช้เครื่องสำอาง สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้าจะค่อย ๆ จงลงทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น

ล้าง หน้าให้สะอาด ผสมเอนไซม์ 2- 3 กรัม กับน้ำสะอาด และชโลมลงบนใบหน้า (สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) ในช่วงแรกอาจมีการคันเหมือนมีมดเดินบนใบหน้า แต่ไม่นานก็จะหาย

 

 

2.              ใช้ลดน้ำหนัก

ผลการใช้

วิธีการใช้

ช่วยในการเผาผลาญไขมัน

อาหาร เช้าของวัน ให้ดื่มเอนไซม์ 2 ซอง โดยผสมกับน้ำอุ่น หรือเครื่องดื่มที่ชอบ เช่น ชาผลไม้ หรือน้ำนมข้าวยาคู เป็นต้น อาหารกลางวัน และเย็นดื่มเอนไซม์ 2 ซอง ก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที เน้นอาหารประเภทผักผลไม้เป็นหลักไม่ควรทานอิ่มเกินไป งดอาหารประเภททอด และเนื้อติดมัน ใช้ซีอิ๊วแทน เกลือและน้ำปลา

          หาก ทำได้ดังนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนจะลดน้ำหนักได้ 4- 8 กิโลกรัม การลดน้ำหนักวิธีนี้เป็นการลดตามธรรมชาติ ทำให้มีความรู้สึกสบาย แข็งแรง ปลอดภัย ไม่อ่อนเพลีย กระวนกระวาย และเป็นการลดน้ำหนักอย่างสมดุลทั่วทั้งสรีระ

 

 

3.              ใช้เพิ่มน้ำหนัก

ผลการใช้

วิธีการใช้

เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารของกระเพาะ ลำไส้

ดื่มเอนไซม์ครั้งละ 1-2 ซอง หลังอาหาร 30 นาที วันละ 3 เวลา

 

 

4.              โรคเก๊าท์

ผลการใช้

วิธีการใช้

ครึ่งเดือน –สามเดือน

ดื่มเอนไซม์ก่อนอาหาร 30 นาที

-        เดือนที่ 1 ดื่มวันละ 4 เวลาครั้งละ 1-2 ซอง